1. อาการอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นข้อเข่าเสื่อม?
คนที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม และ เจ็บเข่า มักจะมีอาการดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจจะมีบางอาการ หรือมีทุกอาการได้ เช่น
- ปวดเข่า
- เจ็บเข่า
- ข้อเข่าฝืดหรือติดขัด
- ได้ยินเสียงดังในเข่า
- เข่าบวม
- รู้สึกขาไม่มีกำลังหรือเข่าอ่อน
โดยอาการที่มาพบแพทย์บ่อยที่สุดคือ อาการปวดเข่า อาจจะปวดเวลาขึ้น – ลงทางชันหรือบันได ปวดเวลานั่งกับพื้น เช่น นั่งพับเพียบ ขัดสมาธิหรือคุกเข่า ปวดเวลาเดินบนพื้นราบ
2. ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม?
สาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นประกอบด้วยหลายสาเหตุรวมกัน ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว ได้แก่
- อายุที่มากขึ้น
- น้ำหนักตัวมาก เช่น โรคอ้วน
- การใช้งานข้อเข่าที่มากและเกิดอาการเจ็บเข่า
- มีประวัติเคยประสบอุบัติเหตุบริเวณข้อเข่าอย่างรุนแรง เช่น กระดูกหักเข้าข้อ เอ็นข้อเข่าฉีกขาด แหวนรองข้อฉีดขาด
- มีประวัติเคยติดเชื้อในข้อเข่า
- โรคข้ออักเสบเรื้อรัง เช่น รูมาตอยด์หรือเกาต์
- เพศ จากการศึกษาพบว่า เพศหญิงมีความเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าเพศชาย
- พันธุกรรม พบว่า ผู้ที่มีพ่อ แม่ หรือญาติพี่น้องเป็นข้อเข่าเสื่อม มีความเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น มักจะมีลักษณะที่มีความเสื่อมของข้อทั่วตัว เช่น มือ นิ้ว กระดูกสันหลัง เข่า เป็นต้น
3. ข้อเข่าเสื่อมเกิดในคนอายุน้อยได้หรือไม่?
ข้อเข่าเสื่อมในคนอายุน้อยกว่า 50 ปี และอาการเจ็บเข่าสามารถเกิดได้ โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่จากอุบัติเหตุรุนแรงบริเวณข้อเข่ามาก่อน ส่งผลให้แนวแกนรับน้ำหนักข้อเข่าผิดปกติไป มีกระดูกอ่อนข้อเข่าบาดเจ็บ และเกิดอาการเจ็บเข่า มีโรคข้ออักเสบเรื้อรัง เช่น รูมาตอยด์ ทำให้ผิวกระดูกอ่อนถูกทำลายตั้งแต่อายุน้อย หรือเป็นโรคกระดูกตายบริเวณข้อเข่า (Osteonecrosis) ซึ่งส่งผลต่อมาทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ตั้งแต่อายุน้อย
4. เวลาเดิน ลุก หรือนั่งแล้วเจ็บเข่าควรทำอย่างไร?
ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมักจะมีปัญหาอาการปวดเข่า เวลาเดิน นั่งกับพื้น หรือลุกจากนั่ง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย ในกรณีที่อาการไม่มาก การปรับเปลี่ยนท่าทางและพฤติกรรม เช่น นั่งกับเก้าอี้แทนการนั่งกับพื้น การใช้แขนช่วยยันตัวขึ้นตอนลุกจากนั่ง หรือการใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเวลาเดิน รวมถึงการบริหารกำลังกล้ามเนื้อต้นขาจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บเข่าได้ แต่ในกรณีที่มีอาการมากหรือปรับเปลี่ยนท่าทางแล้วอาการปวดไม่บรรเทา แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ให้การรักษา และคำแนะนำต่อไป
5
. ข้อเข่าเสื่อมแล้วออกกำลังกายได้หรือไม่?
ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมควรออกกำลังกายด้วยวิธีที่ไม่สร้างภาระให้กับข้อเข่า หลีกเลี่ยงการกระโดด กระแทก การบิดเข่า เป็นต้น สำหรับการออกกำลังกายในน้ำ เช่น ว่ายน้ำ หรือเดินในน้ำ จะช่วยให้ข้อเข่ารับภาระน้อยลง มีการฝึกการเคลื่อนไหวของข้อเข่าได้ดี รวมถึงการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานนั้นสามารถทำได้ การบริหารกำลังกล้ามเนื้อต้นขาโดยไม่ใช้น้ำหนักต้าน เช่น การนั่งเกร็งต้นขาและยกปลายเท้าขึ้น จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดได้
ผู้ที่มีอาการเจ็บบริเวณข้อเข่าด้านหน้า ซึ่งมีความเสื่อมของข้อสะบ้าให้หลีกเลี่ยงการลุกนั่ง การก้าวขึ้นที่สูง การออกแรงเหยียดเข่าโดยมีแรงต้าน เป็นต้น เพราะจะทำให้เจ็บและมีการเสื่อมมากขึ้น
6. การฉีดยาน้ำหล่อเลี้ยงข้อเข่าช่วยรักษาได้อย่างไรและช่วยรักษาอาการได้นานแค่ไหน?
ถ้าเปรียบข้อเข่าเหมือนกระบอกสูบรถยนต์ที่จะทำงานได้ดีเมื่อมีน้ำมันหล่อลื่น ในคนปกติจะมีเนื้อเยื่อรอบหัวเข่าผลิตสารหล่อลื่นช่วยในการเคลื่อนไหวในข้อเข่า เมื่อมีอาการข้อเข่าเสื่อม น้ำมันหล่อลื่นในข้อเข่ามีการเปลี่ยนสภาพไป ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม รวมถึงอาจมีปริมาณน้อยกว่าเดิมในผู้ป่วยบางคน จากการศึกษา (Meta – Analysis) พบว่า การฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเข่าเทียมสามารถช่วยลดอาการปวดและเพิ่มการเคลื่อนไหวข้อเข่าได้ในผู้ป่วยบางคนเท่านั้น โดยจะช่วยรักษาอาการได้ประมาณ 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของข้อเข่าเสื่อมของผู้ป่วย
7. พฤติกรรมอะไรบ้างที่ส่งเสริมให้เกิดข้อเข่าเสื่อม?
การใช้งานข้อเข่าที่รุนแรงหรือในท่าผิดปกติต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น การวิ่งมาราธอน การทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องนั่งยองหรือคุกเข่านาน ๆ สามารถส่งเสริมให้เกิดข้อเข่าเสื่อมและเจ็บเข่าได้ในอนาคต
8. ข้อเข่าเสื่อมจำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่?
ข้อเข่าเสื่อมแบ่งความรุนแรงทางภาพเอกซเรย์ได้ 4 ระดับ ซึ่งความรุนแรงระดับที่ 3 หรือ 4 เป็นระดับที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด อย่างไรก็ตามการจะรักษาด้วยวิธีผ่าตัดยังต้องพิจารณาร่วมกับอาการปวดและคุณภาพชีวิตในด้านการยืน เดินของผู้ป่วย ดังนั้นผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมไม่จำเป็นต้องผ่าตัดรักษาทุกคน
9. การป้องกันข้อเข่าเสื่อมควรทำอย่างไร?
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมคือ อายุที่มากขึ้น ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยการปรับเปลี่ยนท่าทางและพฤติกรรม เช่น รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าที่รุนแรงติดต่อกันระยะเวลานาน และออกกำลังกายบริหารกำลังกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรง