ภาวะกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร
หมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี และเสื่อมมากขึ้นตามอายุ นอกจากนี้น้ำหนักตัวที่มาก การทำงานที่ต้องรับแรงกระแทก ก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก และผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นอย่างมาก
จริงหรือที่คนแข็งแรงทั่วไป ก็อาจตรวจพบว่ามีกระดูก หรือหมอนรองกระดูกเสื่อม
กระดูกและหมอนรองกระดูกเสื่อมเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ มีงานวิจัยที่นำนักกีฬาที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ มาตรวจถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI พบหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมถึง 23% และในคนที่อายุเกิน 60 ปี จะตรวจพบหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมได้มากถึง 90%* ดังนั้นจึงไม่ควรวิตกกังวลเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคกระดูกสันหลังเสื่อมในร่างกายของท่าน
* Ref : Lowrence Js. Disc degeneration : its frequency in Relationship to symptoms.
Annals Rheum Dis 1969;28;121 – 37.
นอกจากโรคกระดูกสันหลังเสื่อม มีโรคอะไรอีกที่ต้องผ่าตัด
โรคอื่น ๆ ที่อาจพบได้ที่เป็นสาเหตุต้องผ่าตัด อาทิ โรคเนื้องอกของกระดูกสันหลัง การติดเชื้อในกระดูกสันหลัง การหักยุบจากโรคกระดูกพรุน การคดหรือผิดรูปของกระดูกสันหลัง เป็นต้น
เมื่อไรจะทราบว่าจำเป็นต้องผ่าตัด
ข้อบ่งชี้ที่ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด อาจประกอบด้วยข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
- ไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้
- มีอาการแสดงของการทำลายเส้นประสาท เช่น กล้ามเนื้อลีบ หรืออ่อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
- การควบคุมการขับถ่ายสูญเสียไป
- เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาวิธีต่าง ๆ แล้วอย่างเต็มที่ 6 – 8 สัปดาห์ แต่ยังไม่บรรเทา หรือไม่สามารถกลับไปดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ไม่ผ่าตัดได้หรือไม่ มีวิธีอื่นที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือไม่
แพทย์มักแนะนำให้รักษาโดยวิธีอื่น ๆ อาทิ การทำกายภาพบำบัด การรักษาแบบอินเตอร์เวนชั่น (intervention spine treatment) ก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มโรคกระดูกสันหลังเสื่อม หรือโรคทางกระดูกสันหลังที่ไม่ร้ายแรงนัก เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้หายจากอาการปวดโดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของการรักษาแต่ละวิธีก็ให้ผลแตกต่างกัน เมื่อการดำเนินโรคถึงที่สุดแล้ว การรักษาโดยการผ่าตัดถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดวิธีหนึ่ง และเป็นมาตรฐานที่ต่างประเทศให้การยอมรับ
ผ่าตัดแบบแผลเล็กทำได้ทุกเคสหรือไม่
การผ่าตัดกระดูกสันหลังมีวิธีแตกต่างกันมากมายหลายวิธี การผ่าตัดแบบแผลเล็กเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีการผ่าตัดทั้งหมด ศัลยแพทย์กระดูกสันหลัง สถาบันโรคกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล นิยมเลือกแนวทางการผ่าตัดขนาดแผลเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต้องเป็นการผ่าตัดที่ได้ผลสำเร็จที่ทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บน้อยที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วที่สุด
การผ่าตัดผ่านกล้องดีกว่าหรือไม่อย่างไร
การผ่าตัดผ่านกล้องใช้วิธีขยายภาพในขณะผ่าตัด เพื่อให้การผ่าตัดได้ผลดีกว่าการใช้ตาเปล่า ศัลยแพทย์มองเห็นภาพได้ชัดเจนในขณะผ่าตัด อย่างไรก็ตามการผ่าตัดบางประเภทไม่มีความจำเป็นต้องใช้กล้อง อาทิ การผ่าตัดแก้ไขกระดูกสันหลังคด เป็นต้น กล้องที่ใช้ในการผ่าตัดมีหลายแบบ อาทิ กล้องเอนโดสโคป กล้องไมโครสโคป หรือแม้แต่แว่นขยายที่ติดอยู่ที่แว่นตาก็ทำให้ศัลยแพทย์มองผ่านภาพกำลังขยายได้ชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามผลการรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การใช้กล้องหรือไม่เท่านั้น แต่ขึ้นกับการแก้ไขพยาธิสภาพได้เพียงพอเป็นหลักสำคัญ
การผ่าตัดใช้เวลานานเท่าไร
การผ่าตัดโดยทั่วไปจะใช้เวลา 1 – 2 ชั่วโมง แต่หากเป็นการผ่าตัดที่ต้องใส่โลหะหรือทำผ่าตัดในหลายระดับ จะใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง และอาจใช้เวลามากกว่านั้นสำหรับการผ่าตัดผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนของโรคสูง
ผู้สูงอายุสามารถผ่าตัดได้หรือไม่
ผู้ป่วยสูงอายุสามารถผ่าตัดได้ แต่จำเป็นต้องได้รับการตรวจโดยละเอียดจากอายุรแพทย์ เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม และการทำงานของอวัยวะสำคัญ เช่น การทำงานของหัวใจ ไต และปอด เป็นต้น หากตรวจพบว่าแข็งแรงพอ แพทย์จะอนุญาตให้เข้ารับการผ่าตัด
หลังผ่าตัดต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วัน
โดยทั่วไป หากเป็นการผ่าตัดเล็ก ผู้ป่วยอาจพักในโรงพยาบาล 1 – 2 วัน ส่วนการผ่าตัดหลายระดับ ผู้ป่วยอาจต้องพักในโรงพยาบาล 3 – 5 วัน แต่หากผู้ป่วยมีความแข็งแรงของร่างกายน้อย หรือเป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัวอื่น ๆ การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้า ๆ หรือจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง อาจต้องพักในโรงพยาบาล 7 – 10 วัน หรือมากกว่า
ผ่าตัดแล้วจะหายดีหรือไม่
ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่สถาบันโรคกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล มีความพึงพอใจต่อผลการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ผลการผ่าตัดจะหายดีหรือไม่มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ
- ธรรมชาติและความรุนแรงของโรค โรคทางกระดูกสันหลังบางประเภทสามารถหายได้สนิท เช่น โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท แต่บางประเภทอาจหวังผลเพียงแค่ดีขึ้น เช่น โรคเนื้องอกของกระดูกสันหลัง เป็นต้น
- ระยะเวลาที่เป็นโรคก่อนมารักษา หากเส้นประสาทถูกทำลายหรือกดเบียดมาเป็นเวลานาน อาจได้ผลดีไม่เท่าผู้ป่วย ซึ่งมีอาการเป็นมาได้ไม่นาน
- เทคนิควิธีที่เลือกใช้ หากเลือกใช้เทคนิควิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมจะส่งผลให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วยได้สูง โดยได้รับความเสี่ยงน้อย ศัลยแพทย์จะเป็นผู้ให้ความรู้ในวิธีการรักษาที่เหมาะสม
- ความชำนาญของแพทย์ แพทย์ผู้ผ่าตัดต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญอย่างแท้จริง มากด้วยประสบการณ์ สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
- การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด ความร่วมมือจากผู้ป่วยเองในการทำกายภาพบำบัดออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงปัจจัยเสริม ปัจจัยเสี่ยงต่อโรค หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ผิดท่า และการยกของหนัก รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมไม่ให้อ้วนไป เป็นต้น
ผ่าตัดอย่างไรจะประสบความสำเร็จ
อุบัติการณ์ที่ผู้ป่วยรับการผ่าตัดแล้วไม่หายพบได้ในทุกโรงพยาบาลทั่วโลกซึ่งจะลดอุบัติการณ์ดังกล่าวได้โดย
- การเลือกผ่าตัดโดยแพทย์ผู้ชำนาญด้านกระดูกสันหลังอย่างแท้จริง
- การเลือกเทคนิควิธีผ่าตัดได้ถูกต้อง
- สถานที่ต้องมีความพร้อมทั้งอุปกรณ์ในการรักษาและมีทีมแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด
ทำไมต้องเลือกผ่าตัดที่โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล
สถาบันโรคกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ประกอบด้วยทีมแพทย์ซึ่งเป็นผู้ชำนาญเฉพาะทางหลากหลายสาขาของกระดูกสันหลังแต่ละส่วนโดยเฉพาะ หากผู้ป่วยมีความซับซ้อนของโรคสูง ทีมแพทย์จะร่วมประชุมปรึกษา และวางแผนการรักษาอย่างรอบคอบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือช่วยในการผ่าตัดทางกระดูกสันหลังที่มีคุณภาพเทียบเท่าการผ่าตัดที่ต่างประเทศ จึงเป็นเหตุให้มีผู้ป่วยจากต่างประเทศนิยมเข้ามารับการรักษาที่สถาบันโรคกระดูกสันหลังกรุงเทพมากขึ้นทุกปี
การผ่าตัดเสียเลือดมากหรือไม่
การผ่าตัดโดยทั่วไปจะเสียเลือดไม่มากนักและไม่จำเป็นต้องให้เลือดทดแทน แต่ในกรณีที่ต้องมีการตัดกระดูกจำนวนมาก หรือมีการผ่าตัดในหลาย ๆ ระดับ ปริมาณการเสียเลือดจะมากขึ้น ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและจะได้รับสารน้ำหรือโลหิตทดแทน
แผลผ่าตัดยาวเท่าไร
แผลผ่าตัดจะยาวมากน้อยขึ้นกับจำนวน ระดับ และเทคนิควิธีที่เลือกใช้ ตลอดจนความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยทั่วไปการผ่าตัด 1 ระดับจะมีแผลยาวประมาณ 2 – 7 ซม. ผ่าตัด 2 ระดับอาจมีแผลยาวประมาณ 10 – 12 ซม. ทั้งนี้ แผลจะเล็กลงหากสามารถใช้เทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็กในผู้ป่วยท่านนั้น ๆ ได้
แผลผ่าตัดเจ็บมากหรือไม่
ธรรมชาติของการปวดแผลมักจะมีอาการปวดในช่วง 1 – 3 วันแรกหลังการผ่าตัด ความเจ็บปวดจะมากหรือน้อยขึ้นกับชนิดของการผ่าตัด และขนาดแผล อย่างไรก็ตามผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการให้ยาระงับปวดทั้งในระหว่างการผ่าตัดและหลังการผ่าตัดเสร็จ เพื่อลดความรู้สึกปวดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยวิสัญญีแพทย์จะเข้ามาร่วมดูแลเรื่องการระงับปวดอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่พักฟื้นในโรงพยาบาล นอกจากนี้โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนลมีระบบการให้ยาระงับปวดเข้าเส้นเลือดตลอดเวลาควบคุมด้วยผู้ป่วยเอง (PCA, Patient Controlled Analgesia) ซึ่งได้ผลดีมากในการระงับปวดหลังการผ่าตัดและเป็นมาตรฐานสากล
ผลข้างเคียงของการผ่าตัดทางกระดูกสันหลังมีอะไรบ้าง
เช่นเดียวกับการผ่าตัดใหญ่ทั่วไปที่อาจเกิดผลข้างเคียงได้ในหลาย ๆ ระบบ ดังนี้
- ผลข้างเคียงจากการดมยาสลบ อาจมีอาการเจ็บคอ เสียงแหบ มึนงง ปวดศีรษะ
- ผลข้างเคียงจากระบบการไหลเวียนโลหิต เช่น ความดันโลหิตไม่คงที่ การเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
- ผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในระหว่างการรักษา เช่น การแพ้ยา
- ผลข้างเคียงในระบบทางเดินหายใจ เช่น มีเสมหะคั่งในระบบทางเดินหายใจ การติดเชื้อ หรือปอดบวม
- การติดเชื้อในบริเวณแผลผ่าตัด เสียเลือดมาก หรือมีเลือดคั่ง
- ผลข้างเคียงจากโลหะ หรือสิ่งเทียมอวัยวะ ที่ใส่ในร่างกาย มีการเคลื่อนคลอน หรือมีการแตกหัก
- ผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อและเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- การเชื่อมข้อไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้มีอาการปวดและอาจต้องรับการผ่าตัดซ้ำ
อย่างไรก็ตาม การเลือกผ่าตัดโดยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญในสถานที่ซึ่งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย มีทีมแพทย์คอยดูแลและรักษาตามมาตรฐาน พร้อมทั้งการได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้โอกาสเกิดปัญหาเหล่านี้มีน้อยที่สุด การรักษาพยาบาล หรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันในทุกวันนี้ล้วนมีความเสี่ยงทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดโรคทางกระดูกสันหลัง ในปัจจุบันมีความเสี่ยง หรือผลแทรกซ้อนน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากมีแพทย์ผู้มีความชำนาญเฉพาะทางหลากหลายสาขาร่วมกันดูแลผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีแนวทางการปฏิบัติเพื่อลดผลข้างเคียงต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปัจจุบันความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนในการผ่าตัดโรคทางกระดูกสันหลังต่ำกว่าในอดีตมากจนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
โลหะที่ใช้ดามกระดูกสันหลังมีกี่ชนิด แตกต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับคำแนะนำให้ใส่โลหะดามกระดูกสันหลัง ซึ่งหากแบ่งตามประเทศผู้ผลิต จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ โลหะที่ผลิตจากต่างประเทศ และผลิตในประเทศ หากแบ่งตามวัสดุที่นำมาผลิตจะแบ่งเป็นโลหะประเภทสแตนเลสตีลและโลหะไททาเนียม ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า โลหะไททาเนียมมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าโลหะสแตนเลสตีล ในปัจจุบันแพทย์จึงมักนิยมใช้โลหะไททาเนียมเนื่องจากแข็งแรงกว่าและสามารถตรวจด้วยเครื่อง MRI อีกครั้งได้ การเลือกใช้สกรูเพื่อยึดตรึงกระดูกสันหลัง แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยทราบเพื่อพิจารณาร่วมกันในการเลือกใช้ให้เหมาะสม สกรูโลหะทำหน้าที่ยึดตรึงกระดูกสันหลังให้มั่นคงเพื่อรอให้ร่างกายสร้างเสริมการเชื่อมข้อแบบถาวร ปกติการเชื่อมข้อโดยไม่ใส่โลหะมีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 – 70 แต่เมื่อใส่วัสดุยึดตรึงกระดูกแล้วมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเชื่อมข้อสูงขึ้นเป็น 90 – 100%
ผลแทรกซ้อนของการใส่โลหะดามกระดูกสันหลังอาจเกิดอะไรได้บ้าง
- โลหะอยู่ผิดตำแหน่ง ทำให้กดเบียดเส้นประสาทและเนื้อเยื่อใกล้เคียง
- โลหะเคลื่อนหรือคลอน หลุดจากตำแหน่งที่ใส่ไว้หลังการผ่าตัดไประยะหนึ่ง
- โลหะแตกหัก หลังจากใช้มาเป็นเวลานาน และการเชื่อมข้อไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ O-ARM สร้างภาพสามมิติขณะผ่าตัดพร้อมระบบนำวิถี Stealth Navigation System จะช่วยให้หลีกเลี่ยงอุบัติการณ์ของการใส่โลหะผิดตำแหน่งได้และมีผลแทรกซ้อนต่อเส้นประสาทลดลง
การใส่โลหะนาน ๆ จะมีปัญหาหรือไม่ โลหะมีอายุใช้งานนานเพียงใด ต้องเอาออกหรือไม่ หากไม่เอาออก โลหะจะเป็นสนิมหรือไม่
โลหะที่จะใส่ในร่างกายต้องผ่านการศึกษาทดลองแล้วว่าไม่ส่งผลกระทบกับร่างกาย สามารถอยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิตโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย
การใส่สกรูโลหะอยู่ในร่างกาย เวลาอากาศเย็นจะเป็นอย่างไร
อาจเคยได้ยินว่าหลังผ่าตัดจะรู้สึกเย็นเมื่อใส่โลหะในร่างกาย โดยเฉพาในเวลาอากาศเย็น อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาแล้วว่าการใส่โลหะในร่างกายจะไม่มีผลทำให้เกิดความผิดปกติใด ๆ ในเรื่องอุณหภูมิของร่างกาย
การเตรียมจิตใจก่อนผ่าตัด
- ต้องมีจิตใจยอมรับ มีความเข้าใจในโรคที่เป็นอยู่ ควรทราบทางเลือกของการรักษา ตลอดจนความจำเป็นที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด
- ควรทราบรายละเอียดขั้นตอนการผ่าตัด สิ่งที่จะพบทั้งก่อนและหลังผ่าตัดอย่างครบถ้วน เมื่อแพทย์หรือพยาบาลบอกหรือขอให้ทำสิ่งใดก็จะมีความพร้อมที่จะร่วมมือ
- ท่านอาจจะถูกถามชื่อ – นามสกุลซ้ำ ๆ จากเจ้าหน้าที่หลายครั้ง เพื่อป็นมาตรฐานการบ่งชี้ผู้ป่วยที่ดีก่อนทำหัตถการ เช่น การเจาะเลือด การให้เลือดหรือสารน้ำ การทำหมายก่อนผ่าตัด เป็นต้น
- มอบความไว้วางใจให้ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่พยาบาลปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เนื่องจากแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกท่านได้รับการฝึกอบรมมาให้ดูแลผู้ป่วยประดุจญาติมิตร
- ท่านอาจได้รับการกระตุ้นให้ยืนหรือเดินทั้ง ๆ ที่ยังมีอาการปวดมากอยู่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับความพึงพอใจและได้ผลดี กรณีเป็นโรคที่มีความซับซ้อน คนไข้ผ่านการผ่าตัดแล้วมาแก้ไขอีกครั้ง หรือเป็นเรื้อรังมานาน มีพยาธิสภาพที่มาก หรือเส้นประสาทมีพยาธิสภาพที่ถาวร การผ่าตัดก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้
เตรียมร่างกายอย่างไรก่อนผ่าตัด
- นอนหลับให้เต็มที่ก่อนผ่าตัด งดสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ก่อนมาโรงพยาบาล
- มีญาติที่สามารถดูแลผู้ป่วยและประสานกับเจ้าหน้าที่ได้คอยดูแล
- นำยาเดิมที่รับประทานมาด้วยทุกครั้ง และหากท่านมีอาการแพ้ยาใดต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่หรือแพทย์ทราบ
- ไม่นำของมีค่ามาโรงพยาบาล ขณะเข้ารับการผ่าตัดผู้ป่วยจะต้องถอดเครื่องประดับต่าง ๆ ออก
- ใส่เสื้อผ้ารองเท้าหลวม ๆ สวม และถอดง่าย
- ทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ สระผม แปรงฟัน ตัดเล็บ เช็ดยาทาเล็บออก
- เว้นการแต่งหน้า ติดกิ๊บ หรือใส่คอนแทคเลนส์
- ถอดฟันปลอมฝากญาติไว้ ผู้ป่วยที่มีฟันโยกควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยทุกครั้ง
- งดน้ำ และอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมง
ยาที่รับประทานประจำต้องงดด้วยหรือไม่
- ยาที่ต้องรับประทานต่อเนื่องจนถึงเช้าวันผ่าตัด ได้แก่
- ยาลดความดันโลหิตสูง
- ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ
- ยาขยายหลอดลม เป็นต้น
- ยาที่ต้องงดก่อนผ่าตัด ได้แก่
- ยารักษาโรคเบาหวาน ควรงดเช้าวันผ่าตัด
- ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดทุกชนิด เช่น แอสไพริน, Plavix, Coumadin, Heparin เป็นต้น ตลอดจนยาสมุนไพร เมล็ดแปะก๊วย โสม ต้องงดก่อนรับการผ่าตัดอย่างน้อย 7 วัน
ทำไมต้องพบแพทย์ผู้ชำนาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัดก่อนการผ่าตัด
เพื่อเรียนรู้
- การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด โดยเฉพาะการฝึกขยายปอดให้ถูกต้อง ป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด
- ลักษณะท่าทางและกิจกรรมการใช้หลังที่ถูกต้องเหมาะสม สำหรับผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังในทุก ๆ อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอนในชีวิตประจำวันและการทำงาน การใส่อุปกรณ์พยุงหลังที่เหมาะสมในแต่ละคน หรือฝึกใช้อุปกรณ์ช่วยเดินต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย พร้อมทั้งการดูแลรักษาอุปกรณ์เหล่านั้น
เพื่อลด
- อาการปวดที่เกิดขึ้นจากพยาธิ สภาพของกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท ด้วยเทคนิค วิธีการ และเครื่องมือทางกายภาพบำบัด
เพื่อเพิ่ม
- ความสมดุลด้านความแข็งแรง ความทนทาน และความยืดหยุ่นกับกล้ามเนื้อให้สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง และต่อเนื่อง
สอบถามเพิ่มเติม
โทร. 0 2310 3000 หรือ โทร. 1719
Email: [email protected]